AIR SUSPENSION คือ ช่วงล่างระบบถุงลม ทั้งนี้จริงๆ แล้วก็ใช่ว่าระบบ AIR SUSPENSION จะจำเพาะเจาะจงเอาไว้ใช้กับรถยนต์ที่ตกแต่งในแบบ VIP เท่านั้น ทว่าระบบช่วงล่างถุงลมที่ว่านี้ สามารถนำไปใช้กับรถยนต์ได้ทุกรุ่นทุกแบบทีเดียว และการเปลี่ยนระบบช่วงล่างมาเป็นระบบถุงลม ก็ไม่ใช่ว่าจะน่ากลัว หรือมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามากกว่า ระบบช่วงล่างแบบโช๊คอัพ+คอยล์สปริง ตามปกติที่เราเห็นกันในรถยนต์ทั่วไป
อุปกรณ์หลักๆ ที่ต้องใช้หากคิดจะติดตั้ง "ช่วงล่างระบบถุงลม" คือ
- ปั๊มลม ถังเก็บลม ตัวถุงลม ช็อคอัพ โซลินอยด์วาล์ว
ขั้นตอน การติดตั้ง "ช่วงล่างระบบถุงลม" ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ยุ่งยาก หรือมีการดัดแปลง เจาะตัวรถให้เสียหายแต่อย่างใด โดยมีขั้นตอนดังนี้
- จุดยึดของ ช็อคอัพ ยังคงอยู่ที่เดิม จากนั้นจึงถอด ช็อคอัพ นำไปตรวจเช็ค ซึ่งหากมีปัญหา ก็ต้องจัดการแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
- จากนั้นนำเอาไปประกอบเข้ากับถุงลม โดยการเลือกใช้ถุงลม ก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ของรถยนต์ แต่ละรุ่นว่าควรเลือกใช้ถุงลมใด แบบใด เพื่อให้เหมาะสมที่สุด
- จากนั้นจึงเดินสาย และต่อเชื่อมระบบปั๊มลม-ถังเก็บลม และถุงลม ก็เป็น ก็เป็นอันใช้งานได้
ทั้งนี้ระยะเวลาการติดตั้งระบบถุงลม หากมีการเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้เรียบร้อย ก็ใช้เวลาติดตั้ง รวมทั้งทดสอบการใช้งานก็ราว 2-3 วัน
สำหรับเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งาน ระบบถุง สามาถช่วยเพิ่มฟังก์ชั่น ในการยกตัวรถขึ้น และลงได้อย่างสะดวก ขณะที่การยึดเกาะถนน ยังสามารถให้ประสิทธิภาพได้เหมือนเดิม ที่ใช้ระบบคอยล์สปริง แต่ที่จะดีขึ้นชัดเจนก็คือ ในยามที่มีน้ำหนักบรรทุกมากๆ ระบบช่วงล่างถุงลม สามารถให้ความนุ่มนวลได้ดีกว่า
ปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้นใน "ช่วงล่างระบบถุงลม"
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของ จุดด้อย ของระบบถุงลม ทว่าเป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากว่าอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน และการติดตั้งที่ไม่ดี ช่างขาดความรู้ ความชำนาญ เช่น
- ปัญหาถุงลมแตก ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง ใช้ประเภทถุงลมไม่เหมาะสม กับลักษณะของช่วงล่างรถในรุ่นนั้นๆ หากใช้งานทั่วไป โดยการติดตั้งที่ถูกวิธี และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยเนื่องจากถุงลมที่นำมาใช้สำหรับรถยนต์ ทางโรงงานผู้ผลิต ได้ออกแบบมารองรับแรงดันสูงสุด ไว้ที่ประมาณ 600 psi การนำมาใช้รถยนต์ทั่วๆ ไป แรงดันสูงสุดเต็มที่ไม่เกิน 200 psi ซึ่งต่ำกว่าแรงดันที่ถุงลมรับได้ถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว
- ปัญหาสายลมรั่ว/แตก ปัญหาเกิดจาก การใช้สายลมที่ไม่ได้คุณภาพ และการเก็บงานที่ไม่เรียบร้อย ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และอีกสาเหตุคือ สายลมเสื่อมสภาพ ไม่ได้เปลี่ยนตามอายุการใช้งาน ซึ่งปกติควรจะเปลี่ยนทุกๆ ปีครึ่งถึง 2 ปี
- ปัญหาลมรั่วซึมในระบบ ส่วนใหญ่เกิดจาก มีเศษฝุ่นในระบบ หรือผงเศษเหล็กที่ค้างอยู่ในถุงลมตอนกลึง หรือโอริงฉีกขาดเป็นต้น เป็นอาการที่มีโอกาสพบเจอได้บ่อยในช่วงล่างระบบถุงลม ซึ่งแก้ไขได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับความประนีตในการประกอบ และหากระบบมีการติดตั้งบอลวาล์วเข้าไป จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี
- ปัญหาปั๊มลมเสีย ปัญหาเกิดจาก คุณภาพของปั๊มลมที่เลือกใช้ และการใช้งานที่เกินกำลังของปั๊มลม คือหากเราติดตั้งปั๊มลมเพียงตัวเดียว จะไปกดเล่นต่อเนื่อง แบบรถที่ทำมาโชว์ก็คงไม่ได้ เรื่องพวกนี้ทางเจ้าของรถต้องคุยกับร้านที่ติดตั้งก่อน เพื่อที่จะวางระบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ปัญหาที่เกิดจากตัวปั๊มลม
ในตลาดตอนนี้มี ปั๊มลม ให้เลือกหลากหลาย มีทั้งของเก่าญี่ปุ่นเอามาบิวท์ใหม่ และของที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่ตรงตามสเป็คที่ผู้ผลิตแจ้ง เนื่องจากต้องการลดต้นทุนของสินค้า ทางด้านผู้ที่ติดตั้งระบบถุงลมไปแล้ว ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่ใจ และศึกษาเกี่ยวกับวิธีการบำรุงรักษา เพื่อให้สามารถยืดอายุการใช้งาน ของระบบถุงลม ไปได้นานๆ
วิธีการบำรุงรักษา
- ควรปล่อยลมออกจากระบบหากไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน เพื่อไม่ให้สายลม และจุดข้อต่อต่างๆ รับภาระหนักตลอดเวลา เป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของสายลมได้
- ควรปิดสวิทช์ไฟทุกครั้งหลังจอดรถเรียบร้อย เพื่อป้องกันในกรณีที่ปั๊มลม หรือระบบไฟผิดปกติ
- ควรนำรถเข้าตรวจเช็คระบบทุกๆ 6เดือน เพื่อทำความสะอาดถังลม เอาคราบสนิมที่เกิดจากความชื้น ภายในถังลมออก เปลี่ยนตัวดักความชื้นในระบบ และตรวจเช็คจุดรั่วซึมและความผิดปกติของระบบ
- หากมีปัญหาการใช้งานหรือรั่วซึม ควรปรึกษาช่างติดตั้ง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน อาจเกิดปัญหาใหญ่ภายหลังได้
ทั้งหมดนี้นับเป็นความรู้ส่วนหนึ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการจะติดตั้ง "ช่วงล่างระบบถุงลม" อีกทั้งยังเป็นข้อมูลให้สามารถตัดสินใจได้ว่า ควรจะติดตั้งหรือใช้ระบบช่วงล่างถุงลมหรือไม่